รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณีสะเทือนใจ กรณีของรถ BMW ที่ซิ่งมา 207 กม./ชม. พุ่งชนรถจักรยานยนต์ 3 ชีวิต แม่กับลูกอีก 2 คน เสียชีวิต หลังเกิดเหตุคนขับ BMW ตามหาแมว ก่อนจะหนีหายไป แล้วค่อยย้อนกลับมามอบตัว 7 ชั่วโมงให้หลัง จนเกิดเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม
หนึ่งในประเด็นที่มีการพูดคุยกันในวันนี้ เป็นเรื่องของการเยียวยาที่ทางครอบครัวจะต้องได้รับ ทั้งจากประกันภัย และในเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายจากทางผู้ก่อเหตุ
นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เผยว่า แม้ผู้ขับขี่จะไม่ใช่เจ้าของรถ แต่ถ้าได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถ ก็ถือว่าเป็นผู้การประกันภัย มีทั้งส่วนของภาคบังคับ และภาคสมัครใจ(ประกันชั้น 1)
ในส่วนของประกันภัยภาคบังคับ ถ้าพิสูจน์กันออกมาแล้ว ว่าทาง 3 แม่ลูกเป็นฝ่ายถูก ก็จะได้รับเงินชดเชยเยียวยา รายละ 5 แสนบาท ส่วนประกันชั้น 1 ซึ่งไม่ส่งเสริมให้คนกระทำผิด ถ้าไม่มีใบขับขี่ หรือเมาแล้วขับ ประกันจะไม่ชดใช้เรื่องการซ่อมตัวรถ แต่จะจ่ายให้บุคคลภายนอก(ผู้ที่ถูกชน)
เท่าที่เช็ก ประกันภัยของรถ BMW คันนี้ คุ้มครองคนที่เสียชีวิต รายละ 1 ล้านบาท ถ้าผู้ก่อเหตุรับสารภาพ ประกันจ่ายได้ทันที ส่วนน้องๆ ทั้ง 2 คน มีประกันที่ทำไว้กับโรงเรียนอีก รายละ 6 หมื่นบาท เงินทั้งหมดนี้ มันเป็นแค่เงินเยียวยาตามกฎหมาย ที่ในส่วนของประกันภัยจะจ่ายให้ แต่ส่วนที่เหลือ มันเป็นหน้าที่ของผู้ละเมิด จะต้องรับผิดชอบ
ขณะที่ คุณสุวิทย์ ลุงของผู้เสียชีวิตเล่าว่า ตอนที่ไปไกล่เกลี่ยกับผู้ก่อเหตุ ทางทนายความของฝ่ายนั้นเขาพูดมาว่า ให้เรารวบรวมเงินที่ได้จากภาครัฐก่อน ได้เท่าไหร่ แล้วเขาจะเติมเต็มให้
ความหมายของเขาคือ เราได้เงินมาจากประกันเท่าไหร่ เขาจะเติมให้เท่าที่เราอยากได้ แสนหนึ่ง สองแสน อะไรก็ว่าไป แต่ตนมองว่ามันไม่ใช่เลย พ.ร.บ.คนตายเขาเป็นคนซื้อ มันต้องคุ้มครองตัวเขา มันเกี่ยวอะไรกับเขา เขาทำผิดเขาก็ต้องรับผิดชอบเรา แต่มาพูดแบบนี้มันผิดตรรกะไปหมด
แล้วเขายังไม่ยอมรับผิดว่าเขาชน เขายอมรับแค่เรื่องขับเร็ว 207 กม./ชม. แต่เขาไปอ้างว่าจักรยานยนต์เป็นฝ่ายเบี่ยงเข้ามาหาเขา ทำให้เขาเบรกไม่ทันด้วยความเร็วเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย ทำให้ทางครอบครัวกลัวว่าจะมีการบิดได้ในอนาคต
เรื่องนี้ทำให้นักเรียนในห้องโหนกระแส บอกว่า คำพูดของทนายที่บอกว่าจะเติมให้ คืออะไร พูดมาแบบนี้มันใช่หรือ ตรรกะมันผิดเพี้ยน มันผิดปกติไปหมด ถ้ามีความสำนึกที่จะชดใช้เยียวยาผู้สูญเสียจริงๆ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินประกันเลย เพราะมันเป็นส่วนที่ผู้สูญเสียต้องได้รับอยู่แล้ว