ศาลปกครองสั่งนายทะเบียนกรมขนส่งทางบก ออกป้ายกำกับการเสียภาษีรถยนต์ประจำปีให้ผู้ค้างชำระใบสั่งจราจร ชี้เหตุเจ้าพนักงานจราจร สตช. ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่กรมขนส่งฯ จึงไม่มีอำนาจชะลอออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถให้แก่เจ้าของรถที่ค้างชำระค่าปรับได้
วันที่ 20 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา ลงวันที่ 18 ธ.ค. 2567 พิพากษาให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่รับชำระค่าภาษีรถยนต์สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 5 (จตุจักร) ในฐานะนายทะเบียนกรมการขนส่งทางบก ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี พ.ศ. 2568 ให้แก่นายอำนาจ แก้วประสงค์ ภายในสามวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้กรมขนส่งทางบก ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอำนาจ แก้วประสงค์เป็นเงินจำนวน 3,151.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ตามที่นายอำนาจ แก้วประสงค์ ยื่นฟ้องกล่าวหาว่า กรมการขนส่งทางบก อธิบดีกรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ฝ่ายทะเบียนสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ในการปฏิเสธไม่ออกป้ายภาษีรถยนต์ (ป้ายวงกลม) ให้ โดยอ้างว่า นายอำนาจยังค้างชำระค่าปรับจากการกระทำความผิดตามกฎหมายจราจร
ศาลปกครองให้เหตุผลว่า แม้จะเป็นความจริงว่า ระหว่างกรมขนส่งทางบก กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ลงวันที่ 8 ก.พ. 2566 และในการปฏิบัติงานด้านจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลสำหรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในแต่ละขั้นตอนต่างๆ เรียกว่า “ระบบบริหารจัดการใบสั่ง”
…
แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในระบบ “ระบบบริหารจัดการใบสั่ง” และที่ปรากฏในระบบฐานข้อมูลกลางของกรมขนส่งทางบก และที่หน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่รับชำระค่าภาษีรถยนต์ใช้เป็นเหตุในการชะลอการออกหลักฐานการชำระภาษีรถประจำปีให้แก่ผู้ฟ้องคดีปรากฏข้อเท็จจริง
แต่เพียงว่า นายอำนาจยังคงค้างชำระค่าปรับใบสั่งจราจร ลงวันที่ 16 พ.ค. 2567 ในข้อหาขับรถเร็วหรือต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 บริเวณถนนบูรพาวิถี อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนเงินค่าปรับจำนวน 500 บาท โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเจ้าพนักงานจราจรได้มีการออกหนังสือแจ้งการไม่ปฏิบัติตามใบสั่งและค่าปรับที่ค้างชำระไปยังผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้า
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจราจร นอกจากนี้ ยังไม่พบหลักฐานไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับที่ส่งหนังสือแจ้งการไม่ปฏิบัติตามใบสั่งตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เก็บรักษาไว้ที่หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีจึงเชื่อได้ว่า เจ้าพนักงานจราจรยังมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้
เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่รับชำระค่าภาษีรถยนต์สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 5 (จตุจักร) ในฐานะนายทะเบียนกรมการขนส่งทางบกจึงหาได้มีอำนาจในการชะลอการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถให้แก่เจ้าของรถที่ค้างชำระค่าปรับจราจรแต่อย่างใด ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่รับชำระค่าภาษีรถยนต์สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 5 (จตุจักร) ตรวจสอบเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับรายการค่าปรับใบสั่งจราจรของเจ้าพนักงานจราจรในระบบฐานข้อมูลกลางของกรมขนส่งทางบก แล้วออกใบเสร็จชำระเงินค่าภาษีประจำปีพร้อมระบุข้อความว่า “ใช้แทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีได้ไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่ออกใบเสร็จรับเงิน” โดยไม่ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี พ.ศ. 2568 ให้แก่นายอำนาจ จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนและภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2562 กำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
นายอำนาจจึงชอบที่จะได้รับค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่รับชำระค่าภาษีรถยนต์สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 5 (จตุจักร) ดังนั้น กรมขนส่งทางบก ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดต้องเป็นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอำนาจ เป็นเงินจำนวน 3,151.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี