ดับฝัน “ป้าติ๋ม” แม่บ้านรับมรดก 100 ล้าน จากแหม่มสาว หลัง ตร.ซุ่มสืบสวน 7 เดือน พบใช้ 2 คนไทย เป็นนอมินี จดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลถือครองที่ดิน-ทำธุรกิจซื้อขายวิลล่าบนเกาะสมุย
จากกรณีนางแคทเทอร์รีน อายุ 59 ปี หญิงนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุย จบชีวิตตนเองและได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สิน 100 ล้าน ให้ “ป้าติ๋ม” แม่บ้านคนสนิทนั้น ล่าสุดวันนี้ พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว. สุราษฎร์ธานี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (ศปชก) ภ.จว. สุราษฎร์ธานี มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ ร่มไทร รอง ผกก.สอบสวน สภ.กาญจนดิษฐ์ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยให้ดำเนินคดี บริษัท จี.วี.เอ็น.อี.จำกัด, บริษัท แม็กซิเคท จำกัด ในฐานะนิติบุคคล, นางแคทเทอร์รีน โจรี่ โรแล็นด์ เจอร์แมน เดลาโคท อายุ 59 ปี สัญชาติฝรั่งเศส (เสียชีวิต) ในข้อหาร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ, เป็นบุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษตามที่กำหนดไว้ในบัญชีหนึ่ง (การค้าที่ดิน ตามบัญชีหนึ่ง(9)), เป็นคนต่างด้าวได้ที่ดินมาโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และเป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รวมถึง นายทองใส คติสุข อายุ 50 ปี และ นางรัชประภา โซเรดะ อายุ 36 ปี ในข้อหาร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ, ร่วมกันสนับสนุนช่วยเหลือให้คนต่างด้าวได้ที่ดินมาโดยผิดชอบด้วยกฎหมาย, เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ (การค้าที่ดิน ตามบัญชีหนึ่ง(9))โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียวหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งคนต่างด้าวซึ่งยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้กระทำการดังกล่าว โดย พ.ต.ท. ณัฐพงษ์ ได้มอบสำนวนการสืบสวนและพยานหลักฐาน ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ รอง ผบก.ภ.จว. สุราษฎร์ธานี/รอง ผอ.ศปชก. ภ.จว. สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ นางแคทเทอร์รีน อายุ 59 ปี แหม่มสาวนักธุรกิจวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุยใช้ปืนจ่อขมับปลิดชีพตัวเองริมสระน้ำในวิลล่าหรู ก่อนตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แม่บ้านคนสนิท มูลค่าร่วม 100 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา จนทำให้เป็นสนใจของคนไทยทั้งประเทศ ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ได้สร้างความกังขาให้กับสังคมเช่นกัน โดยเฉพาะประเด็นทรัพย์สินเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่าชาวต่างชาติสามารถถือครองและโอนทรัพย์สินให้กับผู้อื่นได้หรือไม่ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาจึงได้มอบหมายให้ ศปชก.ภ.จว. สุราษฎร์ธานี เข้าสืบสวนสอบสวนมาอย่างต่อเนื่องจนพบพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่า การดำเนินธุรกิจในลักษณะนิติบุคคลที่มีบุคคลต่างด้าวเป็นกรรมการ เข้าข่ายความผิดลักษณะของตัวแทนอำพราง ซึ่งเราได้ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานจนมั่นใจว่าสามารถเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้จึงเป็นที่มาของการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 เม.ย. พนักงานสอบ สภ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุ นางแคทเทอร์รีน อายุ 59 ปี ชาวฝรั่งเศสนักธุรกิจวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุยใช้ปืนจ่อขมับปลิดชีพตัวเองริมสระน้ำในวิลล่าหรู ซึ่งตำรวจได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดเนื่องจากการตรวจสอบพบว่าก่อนเสียชีวิตผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้นางณัฐวลัย หรือ ป้าติ๋ม ซึ่งเป็นคนใช้คนสนิท ประกอบด้วย บ้านหรือวิลลาหรูพร้อมที่ดินที่เกิดเหตุ มูลค่าราว 30 ล้านบาท ที่ดินเปล่า 2 แปลง ที่มีพื้นที่ติดกับวิลล่า มูลค่าราว 20 ล้าน และทรัพย์สิน เครื่องประดับ บางส่วนที่ตู้เซฟ รวมถึงเงินสดในธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง โดยรวมมูลค่าที่ป้าติ๋มได้รับราว 100 ล้านบาท แต่การสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เนื่องจากไม่พบพิรุธหรือข้อบ่งชี้ว่ามีบุคคลอื่นทำให้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตามหลังปรากฏเป็นข่าว นายรัชชพร พูลสวัสดิ์ นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเกี่ยวกับความถูกต้องในการถือครองทรัพย์สินรวมถึงการดำเนินกิจการธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเพื่อถือครองทรัพย์สินโดยเฉพาะที่ดินในประเทศไทย รวมถึงให้มีการตรวจสอบการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อครอบครองวิลล่าของชาวต่างชาติ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และต่อมา พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.รมน.ภาค 4 ในขณะนั้น ได้สั่งการให้ชุดแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 เข้าตรวจสืบสวนหาข่าวและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนนำไปสู่การตรวจสอบการถือครองที่ดินของรัฐ และการประกอบธุรกิจวิลล่า
โดยในการสืบสวนยังพบว่ามีสำนักงานกฎหมายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและให้การช่วยเหลือในการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลของชาวต่างด้าว ซึ่งประเด็นของสำนักงานกฎหมาย จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้