กรมอนามัย ยัน ต้องเร่งส่งเสริมการมีลูก ไม่เช่นนั้นอนาคตคนแก่จะเยอะกว่าคนทำงาน เปิดสถิติ ปี 2565 คนเสียชีวิตในไทยมี 5 แสนกว่าคน แต่เด็กเกิดใหม่มี 4.8 แสนคน
พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย กล่าวบรรยายที่ จ.เพชรบูรณ์ ถึงสาเหตุที่ประเทศต้องเร่งส่งเสริมการมีบุตรว่า ในปี 2565 คนที่ตายในประเทศไทยมี 5 แสนกว่าคน แต่เด็กที่เกิดใหม่มี 4.8 แสนกว่าคน เป็นปีแรกของประเทศไทยหากนับย้อนหลังไป 60 ปีจะพบว่าการเกิดน้อยไป จากนี้ไปอีก 60 ปี หากประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ไม่มีการส่งเสริมสนับสนุนหรือให้ข้อมูลแก่ประชาชน ใน 60 ปีข้างหน้า ประชากรจะลดจาก 65 ล้านคนเหลือ 63 ล้านคน คนแก่ 18 ล้าน คนทำงาน 14 ล้าน เด็กเกิดใหม่ 1 ล้าน นั่นหมายความว่าคนทำงานที่จะต้องดูแลคนแก่มีน้อยกว่าจำนวนคนแก่ พญ.อัจฉรา ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า สมมติจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินในต่างจังหวัด ไม่มีคนขับเครื่องบิน ไม่มีแอร์โฮสเตส ไม่มีกราวด์ เพราะคนทำงานไม่เหลือแล้ว จะใช้โรบอทหุ่นยนต์ เทคโนโลยีอาจช่วยได้ แต่คนที่ป่วยอยู่ในโรงพยายาลและเป็นคนแก่ ไม่มีแพทย์ พยาบาลเพราะแก่หมด เรียนไม่ทัน คนแก่ต้องดูแลกันเอง เพราะไม่มีวัยแรงงาน ประเด็นถัดไปใครจะเป็นจ่ายภาษีให้แก่ประเทศไทย หลังจากนี้กระทรวงต้องมาช่วยกันคิด ข้อมูลตัวเลขนี้จะต้องให้ประชาชนรับทราบ เพื่อจะมีสิทธิตัดสินใจว่าจะช่วยมีบุตรหรือไม่มีบุตร อันนั้นเป็นสิทธิของทุกคน แต่ 63 ล้านคนนี้ หากเอาต่างด้าวเข้ามา เพื่อจะเป็นแรงงานก็จะอีกประเด็น ประเทศสิงคโปร์ไม่ผลิตและส่งเสริมการมีลูกแล้ว เพราะทำแล้วล้มเหลวมา 10 ปี คนสิงคโปร์ไม่นิยมมีลูกแล้ว เขาเอาเข้าแรงงานความมาเป็นสิงคโปร์เลี่ยน แต่คนสวีเดนต้องการคนเชื้อชาติสวีเดน มีการช่วยกันรัฐบาลส่งเสริมให้เบบี้โบนัสให้หยุดงานได้และให้เงินเดือนขณะหยุดงาน คนสวีเดนมีลูกเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในเวลา 10 ปีถัดมา เพราะเขาต้องการมีเชื้อชาติสวีเดนอยู่ในประเทศ ตรงนี้ประเทศไทยเลือกได้ จากสำรวจเหตุผลสำคัญการที่คนไม่มีลูกนั้น เหตุผลไม่ใช่เรื่องสาธารณสุขเป็นสำคัญ เขาบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย ยังไม่ถึงที่วางแผนไว้ และที่สำคัญไปกว่านั้นเขาคิดว่าประเทศนี้รัฐบาลจะช่วยอะไรเขาได้ เรื่องของกระทรวงสธ.ที่จะเกี่ยวข้องมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าเขาต้องการมีลูกแต่เขาไม่มี แต่ทำไมกระทรวง สธ.ต้องเป็นผู้นำ เพราะ 10 เปอร์เซ็นต์ กระทรวง สธ.จะทำให้ดีที่สุด เพื่อเพิ่มการมีบุตรให้มีคุณภาพให้แก่ประเทศไทย