เปิดสวิตช์ 3 ท. ชวนรู้จัก 3 อุดมการณ์ ธร ทิม เท้ง จากอนาคตใหม่ สู่ ประชาชน หลังบ้านใหม่ก้าวไกลไปต่อ เปิดหัวเรือคนใหม่ ไฟแรง เท้ง ณัฐพงษ์ นี่มันเค้าท่านผู้นำชัดๆ ยิ่งได้เห็นช็อตเทียบตั้งแต่ที่ ทิม พิธา ยืนอยู่ด้านหลังธนาธร สู่ภาพ เท้ง อยู่ด้านหลัง ทิม พิธา
ก่อนจะกร้าวประกาศว่า หัวเรือคนใหม่คือ เท้ง เรืองปัญญาวุฒิ ผู้ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามายืนตำแหน่งนี้ มีดีกรีเป็นถึง รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ฝ่ายพัฒนาระบบข้อมูลและดิจิทัล เรียกได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงวัย 37 เขาเป็นบุตรชายคนที่ 4 ของ นายสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด ประกอบธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และประธานกรรมการ บริษัท เรืองปัญญา เคหะการ จำกัด จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยบริหาร แอ๊บโซลูท เมเนจเม้นท์ โซลูชั่นส์ จำกัด ก่อนจะโดดเข้ามาการเมือง โดยเท้ง ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 28 สังกัดอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ต่อมาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ ของอดีตพรรคก้าวไกล และได้รับเลือกเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ของอดีตพรรคก้าวไกล โดยอุดมการณ์การแรก ภารกิจที่จะสร้างรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนแปลงในปี 2570 จำเป็นต้องชนะการเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า และตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นนอกจากเป็นพรรคอันดับหนึ่งในปี 2566 คือการชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ในฐานะหัวหน้าพรรค การสร้างพรรคให้แข็งแรงคือการทำงานหน้าบ้าน และทำโครงสร้างพรรคให้แข็งแรง งานนี้พรรคประชาชนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีผู้ที่เปิดอุดมการณ์ Gen 1 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ โดยประกาศเจตนารมณ์ของพรรคที่จะนำประเทศไทยออกจากความขัดแย้ง สร้างประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนให้มั่นคงในสังคมไทย โดยที่ตั้งใจอยากทำงานการเมืองเต็มตัว แม้ว่าจะถูกยุบไป ก็ยังเชื่อว่า ส.ส.ที่ยืนอยู่ในวันนั้นจะยังหนักแน่นและไปด้วยกันจะสานต่ออุดมการณ์ และใน Gen 2 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ที่น่าจับตามองที่สุดคนนึง พิธาก้าวเข้าสู่วงการเมืองด้วยการเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง ต่อมาก็ได้ สมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ด้วยการเชื้อเชิญของธนาธร ต่อมาในปี 2566 พิธาประกาศว่าเขาพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งในวันเลือกตั้ง ได้รับเลือก 14 ล้านเสียง แม้ว่าศาลจะสั่งยุบพรรค แต่ทางทีมก็เดินหน้าต่อ โดยสิ่งที่ธนาธรและพิธาทำก็ได้ถูกส่งต่อแม้ว่าจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
